เติ้ง เสี่ยว ผิง : บุรุษผู้เปิดประตูจีนสู่ความยิ่งใหญ่
Angbao Knows ได้พูดถึง ท่านประธาน “เหมา เจ๋อ ตง” ไป ในฐานะผู้สร้างจีนใหม่ขึ้น
.
.
อีกบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีนที่เราจะลืมนึกถึงไม่ได้เลย นั่นคือ “เติ้ง เสี่ยว ผิง”
.
“เติ้ง เสี่ยว ผิง” นับได้ว่าเป็นอีกบุคคลในตำนานเลยทีเดียว เพราะชายคนนี้สามารถทำให้พี่น้องชาวจีนได้กลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง
.
กับผลงานทางด้านเศรษฐกิจ และ การพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างชาติ
.
ด้วยนโยบายที่ผลิกโฉมจีน ไปอย่างสิ้นเชิง “Opening up : เปิดประเทศจีน”
.
.
– – – – –
.
✅ กด See First กันด้วยนะครับ จะได้ไม่พลาดอัพเดทเกี่ยวกับประเทศจีน 🇨🇳
.
✅ ติดตามผลงานจาก Angbao Society กันได้ทาง
Group : www.facebook.com/groups/888639888172662/
.
– – – – –
.
.
“เติ้ง เสี่ยว ผิง” เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1904 เป็นชาวกว่างอัน แห่งมณฑลเสฉวน
.
จบการศึกษาในประเทศฝรั่งเศส โดยเข้าเรียนโครงการสำหรับนักเรียนจีน
ซึ่งมีนักปกครอง นักปฏิวัติที่มีชื่อเสียงหลายคนของเอเชียเคยเรียน เช่น โฮจิมินห์ และ โจว เอิน ไหล
.
อีกทั้งยังเรียนจบจากมอสโกในปี 1927 อีกด้วย
.
ด้วยการที่ เติ้ง ได้เรียน และ เติบโตอยู่ในต่างประเทศ ที่ใช้ระบบทุนนิยมเข้ามามีส่วนในการปกครอง
.
เขาจึงได้รับอิทธิพลทางด้านแนวคิดทางเศรษฐกิจนี้มา เป็นแรงผลักดันในการประยุกต์ใช้กับจีน ในช่วงเวลาถัดมา
.
.
.
เติ้งมีบทบาทในการปลดปล่อยจีนให้พ้นจากความอดอยากแร้นแค้น ในระหว่างที่ เติ้ง เสี่ยว ผิง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เป็นเวลา 10 ปีนั้น
.
เขามีบทบาทในการพัฒนาระบบการปกครองแบบสังคมนิยมของประเทศจีนเป็นอย่างมาก
.
ด้วยความที่เป็นคนหัวสมัยใหม่ จึงมีแนวคิดที่มุ่งเน้นทางด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและ ความมั่นคง
.
ได้มีการเดินทางไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ แนวทางการพัฒนาประเทศ กับผู้นำสหภาพโซเวียตที่กรุงมอสโควหลายครั้ง
.
.
.
เติ้ง ได้รับแรงสนับสนุนจาก เหมาเจ๋อตง ทำหน้าที่ฟื้นฟูประเทศจีนให้กลับมายืนได้อีกครั้ง หลังผ่านความบอบช้ำจากช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม
.
แต่ยังไม่ทันเห็นผลสำเร็จ เขาก็ถูกใส่ร้ายทางการเมือง จนต้องออกจากตำแหน่งทางการเมือง และ ไปเป็นกรรมกรอยู่ที่โรงงานใน มณฑลเจียงซี
.
ต่อมา นายกรัฐมนตรี โจวเอินไหล ขึ้นครองอำนาจ และ พบว่าตัวเองป่วยด้วยโรคมะเร็ง โจวเอินไหล ได้เรียกเติ้งกลับมาอีกครั้ง เพื่อรับช่วงต่อในการบริหารประเทศ
.
.
ในปี 1978 เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมือง ในปีนี้เองที่เขาเสนอให้รัฐบาลจีน ทบทวนนโยบายที่ผิดพลาดจากในอดีตมาเป็นบทเรียน
.
และ มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลัก
.
.
.
หากพูดถึงการปฏิวัติครั้งใหญ่ในจีน คงแบ่งได้เป็น 2 ครั้ง
1. ครั้งแรก ของ เหมา เจ๋อ ตง เป็นการปฏิวัติทางการเมือง “ปฏิวัติวัฒนธรรม”
2. ครั้งสอง ก็คือ การปฏิวัติทางเศรษฐกิจ โดยการ “เปิดประเทศ” ของ เติ้ง เสี่ยว ผิง
.
การเปิดประเทศของจีนนั้น ถือเป็นการเปิดม่านฉากใหม่ของจีน สู่การผลิกโฉมจีนครั้งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ สู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด
.
.
.
จากประเทศที่ยากจน แร้นแค้น ที่ประชาชนมีค่าแรงเฉลี่ย เพียงวันละ 2 USD (ประมาณ 60 กว่าบาท)
สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ให้ออกจากความยากจนได้มากถึง 700 ล้านคนในเวลาถัดมา สู่การเป็นประชากรระดับกลาง (Middle-income)
.
ภายใต้การนำของคณะกรรมการบริหารพรรค ที่ “เติ้ง เสี่ยว ผิง” เป็นแกนนำ ให้มีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ และ การพัฒนาระบอบสังคมนิยมแบบพิเศษ
.
เติ้งได้เปิดรับระบบทุนนิยมเข้ามาใช้ในประเทศ ตั้งแต่ ปี 1978
.
ซึ่งทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด ในช่วง 40 ปีหลังเปิดประเทศ
– สัดส่วน GDP ของจีน ต่อ โลก ปี 1978 อยู่ที่ 1.8% เท่านั้น
– สัดส่วน GDP ของจีน ต่อ โลก ปี 2017 กระโดดมาที่ 18.2%
.
.
.
เปรียบเทียบจำนวนชาวจีนที่เดินทางออกต่างประเทศ ระหว่าง
– ช่วงปิดประเทศ (1949-1978) มีคนจีนเพียงแค่ประมาณ 200,000 คนเท่านั้นที่ได้เดินทาง
– ช่วงเปิดประเทศ 40 ปีให้หลัง (2019) มีคนจีนเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก มากกว่า 143 ล้านทริป
.
แน่นอนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้าจีน ก็ทะลุมากกว่า 142 ล้าน ทริป
.
.
.
ในด้านของการพัฒนาเศรษฐกิจ และ การค้า หลังเปิดประเทศ
จีนก็ได้รับระบบทุนนิยมด้วยการค้า จากบริษัทต่างชาติเข้ามามากมาย พร้อมเทคโนโลยีการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่มาประยุกต์ใช้ได้ต่อ จนถึงปัจจุบัน
.
.
.
ในแง่ความสัมพันธ์ทางการทูตกับต่างชาติ
.
ปี 1979 เติ้งเสี่ยวผิง ยังได้ สานสัมพันธ์กับผู้นำชาติมหาอำนาจในเวลานั้น อย่าง Jimmy Carter ประธานาธิบดีของ USA ซึ่งถือเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีของชาติทั้ง 2 อีกด้วย
.
.
.
.
บุรุษผู้นี้เอง คือผู้คิดระบบการปกครองประเทศรูปแบบ “หนึ่งประเทศสองระบบ” (One Country Two Systems)
.
เพื่อแก้ไขปัญหา เรื่องเขตการปกครองพิเศษ ฮ่องกง มาเก๊า และ ไต้หวัน
ด้วยแนวคิดหลัก รวม ฮ่องกง มาเก๊า และ ไต้หวัน เข้ามาเป็นจีนเดียวโดยสมบูรณ์
.
ส่วน 2 ระบบ ที่มีความแตกต่างทางระบบเศรษฐกิจ และ การปกครองทางการเมือง ที่ว่านั้นก็คือ
.
1. ระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ของจีนแผ่นดินใหญ่
2. ระบบเสรีทุนนิยมของฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน
และ นโยบายการปกครองนี้ ยังมีผลมาจนถึงจวบจนปัจจุบัน
.
.
.
เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1997 ในวัย 93 ปี
.
ตลอดระยะเวลา 70 ปี ในเส้นทางการเมืองของเขา
เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้ทำคุณงามความดีให้ประเทศชาติ กับการเปิดรับ และ วางรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคง
.
จึงอาจพูดได้ว่า… หากในวันนั้น เติ้ง ไม่ตัดสินใจเปิดประเทศ
.
จีนก็คงไม่สามารถก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก อันดับที่ 2 ตราบเช่นในปัจจุบันได้
.
.
.
.
.
#AngbaoKnows EP.7
#รู้จักจีนกับเรื่องเล่าเข้าใจง่ายๆ
.
.
#AngbaoSociety
#วาไรตี้รายการจีนโดยหนุ่มตี๋สาวหมวย
.
.
.
อ้างอิง :
www.youtube.com/watch?v=hF__EF_yrFA
www.china-mike.com/china-travel-t…/china-tourism-statistics/
www.travelchinaguide.com/tourism/2019statistics/